วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตานังเลนัง จ.เชียงใหม่



สถานที่สวยมากผิดกับที่เราคิดไว้ทุกอย่าง เรานึกว่าจะเป็นวัดหรือสถานที่เล็ก ๆ
แต่ที่ไหนได้ใหญ่โตสวยหรูจังเลย เป็นเหมือนรีสอร์ท และการจัดการเหมือนกับโรงแรมแบบนั้นเลย
เจ้าของเขาศรัทธามากเลยทุ่มทุนสร้างงบประมาณ 300 ล้านบาท มีกุฏิอยู่ 91 หลัง เราอยู่ที่นี่รวม 17 คืน 18 วัน ตอนแรกนึกว่าจะถูกขังเดี่ยวแบบส่งปิ่นโต แต่ที่ไหนได้ไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ข้อมูลมาเลย
การปฏิบัติของที่นี่ค่อนข้างจะเคร่งคัดมาก กฎมีมากมายเยอะแยะ ห้ามพูดคุยกันเด็ดขาด ห้ามมองหน้ากัน
ห้ามสบตากัน ใครพูดกันถ้าเจ้าหน้าที่เห็นแล้วตักเตือนหลายครั้งจะถูกเชิญออก และจะไม่มีโอกาสได้เข้ามาที่นี่อีก


ห้ามมองหน้ากันด้วยนี่สิ ทำลำบากเหมือนกันนะ ถ้าใครเดินแล้วสายตาอยู่ในระดับเส้นขนานใบหน้าล่ะก็จะถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาไหน แย่ สายตาจะต้องทอดลงต่ำเสมอไม่เกิน 4 ศอก ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน
ทำแบบนี้จนกว่าจะหลับ เนื่องจากว่าถ้ามองหน้ากัน อาจจะเกิดความคิดขึ้นมา เช่น อุ้ยคนนั้นสวยจัง คนนี้หล่อจัง แล้วก็คิดไปต่าง ๆ นานา ทำให้เกิดอกุศลทางจิต หรือมองวิวมองนั่นมองนี่ก็จะทำให้เกิดความคิดขึ้นได้ ถ้ามองต่ำแค่สี่ศอก(เห็นแต่พื้นนี่)จะไปมีความคิดอะไรได้ ความคิดก็จะเกิดขึ้นน้อย





ถ่ายจากห้องนอนเรา แอบทำผิดกฎระเบียบอิอิ
ถ่ายตอนมาใหม่ ๆ น่ะ กลัวว่าจะไม่มีรูปมาให้เพื่อน ๆ ชม


การปฏิบัติที่นี่จะต้องทำช้าทุกอย่าง เดินก็ให้เดินช้า ๆ เหมือนเต่าแบบสโลโมชั่น ทำอะไรก็แล้วแต่ทำแบบไม่ให้เสร็จ เอ๊ะเพื่อนเข้าใจกันหรือเปล่าเนี่ยทำแบบไม่ให้เสร็จ อิอิ ก็ทำช้า ๆ ไง ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
เช่นเดินยังไงไม่ให้ไปถึงที่หมายก็ต้องเดินช้า ๆ นั่นแหละ ทานข้าวยังไงไม่ให้หมดจาน ก็ต้องทานช้า ๆ ใช่ไหม ตอนแรกเรารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะเป็นคนไฮเปอร์ ทำอะไรรวดเร็วมาก เป็นคนกระฉับกระเฉง เดินเร็ว ใครเดินกับเราต้องได้วิ่งตามเสมอ พอมาเดินช้า ๆ เราก็เซนะสิ เซจะล้มบ่อย ๆ พอหลัง ๆ มาสำรวจว่าทำไมเราเซน๊าก็รู้ทันทีว่ากำหนดไม่ละเอียด ช่วงที่เซเพราะขาดสติไงเล่า และที่นี่กราบพระสามครั้งใช้เวลากราบนานมาก ๆ เราลองจับเวลาเรากราบดูว่ากี่นาที ให้เพื่อน ๆ ทายสิว่าเรากราบนานแค่ไหน เรากราบพระใช้เวลาตั้ง 10 นาที โอพระเจ้า เพื่อน ๆ คงจะงงเอามากว่ากราบแบบไหน ก็กราบแบบช้า ๆ ไง อยากสาธิตให้ดูเหมือนกัน อิอิ มีคนทำลายสถิติกราบ 3 ครั้ง ใช้เวลา 45 นาที 555 ทำไปได้ไง



บริเวณข้าง ๆ ศาลาปฏิบัติธรรม

ต้องกำหนดอิริยาบถอยู่ตลอดเวลา เช่น จะดื่มน้ำ กว่าจะดื่มได้ต้องกำหนดแบบนี้ อยากดื่มน้ำหนอ
ยกหนอ ยื่นมือไปจับแก้วพอมือโดนแก้ว กำหนดว่าถูกหนอสัมผัสว่าแก้วเย็นร้อนอ่อนแข็ง(รู้ที่ใจ) จากนั้นรู้ที่ใจว่า อยากเทน้ำหนอ เทหนอ ยกลงวางหนอ เห็นหนอ อยากดื่มหนอ ยกหนอ ๆ ๆ ถูกหนอ (แก้วถูกปาก) เย็นร้อนอ่อนแข็งรู้ที่ใจ ยกหนอ เทหนอ (เทน้ำเข้าปาก) อมหนอ อยากกลืนหนอ กลืนหนอ ความจริงมันละเอียดกว่านี้มากแต่เราเอามาบอกแบบไม่ละเลียดน่ะ พอให้เพื่อน ๆ รู้คร่าว ๆ ว่าลักษณะของการกำหนดอิริยาบถเนี่ยมันเป็นยังไง พฤติกรรมทุกอย่างจะต้องกำหนดหมดเลยเพื่อที่จะไม่ให้ใจสอดส่ายไปคิดเรื่องอื่นได้
ถ้าทำจริง ๆ ไม่มีช่องว่างที่จะให้จิตคิดได้เลยแหละ จะเดินก็กำหนด จะนั่งก็กำหนด จะนอนก็กำหนด
เข้าห้องน้ำก็กำหนด แล้วก็ต้องทำช้า ๆ ด้วยนะเพื่อที่จะให้รู้อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ละเอียดยิบเลย
การทำแบบนี้เขาเรียกว่าการปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐาน เป็นทางสายเอกสายเดียวเท่านั้นที่จะเดินไปสู่มรรคผลได้ ส่วนเส้นทางอื่น ๆ ไปไม่ถึงนิพพานจ๊ะ คือทุกวินาทีทุก ๆ ขณะจิตเราจะต้องกำหนดอิริยาบถตลอด เพื่อไม่ให้จิตมีช่องว่างเกิดกิเลสได้ ในเมื่อไม่มีกิเลสเกิดขึ้นในใจเลยก็หมดสิทธิ์จะมาเกิดได้อีก แล้วใครกันเล่าจะทำได้ทุกวินาทีขนาดนั้นนอกจากพระอรหันต์



กุฏิที่เราพัก สวยไหมจ๊ะ

ทางเดินจงกรมในกุฏิล่ะ ที่นี่จะต้องถือร่มตลอดเพราะแดดจัดขืนไม่กางร่มผิวไหม้แน่เลย เดินช้าเหมือนเต่าแบบนั้น ฝนก็ตกเกือบทุกวัน

ของใช้มีให้ครบครัน มีบริการซักผ้าให้ด้วย ชุดละ 10 บาท



เตียงนอนเล็ก ๆ กลิ้งไปมาก็ไม่ได้



กลับมาอาบน้ำเพื่อเตรียมไปปฏิบัติรอบเย็น



ผ่านไปอีกวัน เช้าวันใหม่พระอาทิตย์โผล่มาแล้ว

เช้าวันที่ 4 ของการปฏิบัติธรรม หลังทานอาหารเช้าเรียบร้อย เราเลยเข้าไปนอนพักอยู่ในกุฏิ แล้วอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเรียกซะดังลั่นเลย เสียงนั้นเป็นเสียงที่เราคุ้นเคยมาก ไม่ได้ยินเสียงนี้มาสิบปีแล้ว เสียงนั้นก็คือเสียงของพ่อเราเอง พ่อมาเรียกเราซะเสียงดังเชียว เราเลยลุกจากที่นอนเดินไปเปิดกระจกหน้าต่างเลื่อนออกและชะโงกหน้าไปออกไปมองหา ไม่เห็นมีใครซักคน ในความรู้สึกตอนนั้นดีใจมากเลยที่ได้ยินเสียงพ่อและอยากจะเจอหน้าพ่อมาก เราลืมไปว่าพ่อเราได้ตายจากเราไปตั้งสิบปีแล้ว รู้สึกคิดถึงพ่อจับใจ พ่อคงจะรู้ว่าเรามาทำบุญและคงจะมาขอส่วนบุญกับเรา หลังจากวันนั้นเราก็เริ่มตั้งใจปฏิบัติธรรมมากขึ้นกว่าเดิม กำหนดสติให้ต่อเนื่องมากขึ้น

ตอนเช้า ๆ ก็จะมานั่งกำหนดสติตรงนี้แหละ ดื่มน้ำดื่มนม เขียนสภาวะธรรมไว้เพื่อเอาไปรายงานพระอาจารย์



วันเวลาผ่านไปผลการปฏิบัติธรรมของเราก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จะสังเกตได้ว่าช่วงแรก ๆ ที่ปฏิบัติธรรมเราฟุ้งซ่านมาก คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แค่เดินขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ง่าย ๆ แค่นี้ยังก้าวขาผิดเลย (ใจลอยไปหาใครก็ไม่รู้) อิอิ
หาเพื่อนในบล็อกนี่แหละ พอนั่งสมาธิก็คิดซะจนเพลินไม่ดูอาการท้องพองยุบเล๊ย อยากคิดก็คิ๊ดๆ ๆๆ ไปเรื่อยจนหมดเวลา อ่าน่ะ เพลินจังเลย 5555 ไม่ได้อะไรจากการนั่งสมาธิเลย ไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้นซักอย่าง

โรงอาหาร

อาหารของที่นี่อร่อยมาก ๆ ถูกปากเราทุกอย่าง คิดดูนะเราอยู่ที่นี่ตั้งสิบแปดวันอาหารแทบจะไม่ซ้ำกันเลย
มีซ้ำไม่กี่มื้อ ไม่มีเนื้อสัตว์ จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ใช่สิ มีอยู่สองมื้อที่มีน่องไก่กับแหนมหมู พอไม่ได้ทานเนื้อสัตว์หลายวัน มาทานอีกทานไม่ได้แฮะมันจะอวก เรานี่เขี่ยทิ้งเลย เขาให้กำหนดอิริยาบถในการรับประทานอาหารเพื่อไม่ให้ติดในรส เราก็กำหนดเหมือนกันแต่กำหนดแบบเร็ว ๆ ถ้ากำหนดช้าอาหารจะไม่อร่อย อิอิ เคี้ยวหนอ ๆๆๆๆ กลืนหนอ แทนที่เราจะกำหนดว่า เคี้ยวหนอ เคี้ยวหนอ เคี้ยวหนอ ช้า ๆ อาหารเนี่ยเต็มปาก maxpal เคี้ยวตุ้ย ๆ ๆ  พอมองดูชาวบ้านเขากำหนดแบบเรียบร้อย เคี้ยวช้า ๆ ที่นี่ต้องทานอาหารอย่างน้อย 30 นาที ถ้าคนที่เขากำหนดดี ๆ จะทานประมาณชั่วโมงครึ่งอาหารถึงจะหมด เราเล่น 15 นาทีเอง อายในพฤติกรรมตัวเอง วันหลัง ๆ เลยปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง อิอิ

พอเวลาไปสอบอารมณ์กับพระอาจารย์ จะได้พูดก็ตอนนี้แหละ คือพระอาจารย์จะต้องสอบอารมณ์นักปฏิบัติทุกวันว่าไปถึงไหนแล้ว ถึงเวลาสอบอารมณ์นี่เราจะวิตกจริตมากเลย เพราะว่าพระอาจารย์จะรู้ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เขามีวิธีถาม แล้วเราก็ต้องตอบด้วยจะโม้ก็ไม่ได้เพราะถือศิลอยู่มุสาได้ไงล่ะ ถ้าไม่ตั้งใจพระอาจารย์ก็จะดุเอา เพราะต้องสอบอารมณ์ทุกวันเราเลยต้องพยามให้มากขึ้นทุกวันจะได้มีอะไร ๆ ไปบอกพระอาจารย์บ้าง ก็คนที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่ส่วนใหญ่เขาจะเป็นนักปฏิบัติไง แต่ละคนนี่จะเล่าอาการต่าง ๆ ที่เกิดให้พระอาจารย์ฟังเป็นชุด ๆ เลย แล้วเราล่ะมีอะไรมารายงานบ้าง แง่ว...อายจังเลย




ขำผู้หญิงคนนึงนะเขามักจะมานั่งสมาธิและเดินจงกรมใกล้ ๆ เรา พอนั่งสมาธิทีไรก็หลับทุ๊กที สัปหงกง๊ก ๆ หัวเนี่ยหมุนหน้าหมุนหลังอยู่นั่น ไอ้เราก็ไม่สำรวมสายตาพอเห็นเท่านั้นแหละเราก็ขำขึ้นมาทันที
แทนที่เราจะกำหนดว่าเห็นหนอแล้วจบไป กลับคิดเป็นตุเป็นตะไปซะงั้น นึกถึงตอนที่เราปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ นะ เราก็แย่พอกัน นั่งสมาธิเมื่อไหร่ก็หลับตลอด คอนี่หมุนไปรอบทิศทาง และยิ่งแย่ไปกว่านั้นถ้าไม่หลับก็นั่งได้ซัก 5 นาทีก็แอบหนีไปนอนใต้ต้นไม้บ้างล่ะ พอจะหมดเวลาเราก็แอบย่อง ๆ คลาน ๆ เข้ามาห้องปฏิบัติธรรม ก็จะเห็นเรานั่งตัวตรงเด๊ะซะสง่างามเลย อิอิ พฤติกรรมแบบนี้ห้ามลอกเลียนแบบเด็ดขาดนะ ไม่ดี ไม่ดี

ห้องน้ำที่นี่สะอาดมาก



อ่ะเล่าต่อ ก็ตอนสอบอารมณ์เนี่ยจะมีนักปฏิบัติไปกันครั้งละ 5 คน พอถึงคิวน้องคนนี้ เขาก็รายงานไม่เป็นไง พระอาจารย์ก็ถามนั่นถามนี่เขาก็พูดเกี่ยวกับสภาวะไม่ถูก พอพูดขึ้นมาเป็นหลักการหน่อยก็ตลกมาก เขาบอกว่า “ หนูนั่งสมาธิพอเกิดเวทนา(ความเจ็บปวด) หนูก็หลับค่ะ “ เรานี่สติแตกทันที ขำก๊ากซะลั่นห้องสอบอารมณ์เลย แทนที่เราจะกำหนดว่าได้ยินหนอ แต่ปล่อยเฮออกมาซะนั่น เรานี่ช่างไม่เอาไหนซะเลยคนอื่นเขาเงียบหมด พอเราหัวเราะแบบหยุดไม่ได้เพื่อนนั่งข้างหน้าเลยปล่อยเฮออกมาเหมือนกัน พระอาจารย์ก็ขำ ยัยติ๊งต๊อง(เราคิดในใจ) “ เวลามีเวทนาเกิดหนูหลับค่ะ “ พูดออกมาได้ไง เวลาปวดขามันจะหลับลงได้ยังไงเล่า
ของเรานะปวดขาทีนี่เนื้อแทบจะฉีกเป็นชิ้น ๆ เส้นเอ็นแทบขาด เจ็บปวดทรมานจะตายชักแล้วเธอหลับได้ยังไงจ๊ะ ตลกในคำบอกเล่าจริง ๆ

ที่นี่จะนั่งสมาธิโดยที่ห้ามขยับขาเด็ดขาดจนกว่าจะหมดเวลา ปวดก็ปวดไปต้องทนให้ได้ เรานี่หน้าบิดหน้าเบี้ยวเลยแหละเวลามีเวทนา ก็มันเจ็บปวดเกินบรรยาย อยากให้หมดเวลาเร็ว ๆ จะได้เปลี่ยนขาซักที เรานั่งได้ 30 นาทีแค่นั้นแหละจากนั้นเวทนาก็เกิดแล้ว อีก 30 นาทีคือความทรมาน ที่นี่ต้องนั่งสมาธิ 1 ชั่วโมงนะ บางทีก็ชั่วโมงครึ่ง ห้ามขยับด้วย



ศาลาปฏิบัติธรรม นักบวชทุกคนต้องมาปฏิบัติกันที่นี่ ศาลาเปิดตีสาม ปิดสี่ทุ่ม แต่ปฏิบัติกันจริง ๆ ช่วงตีสี่ถึงสามทุ่ม เราเคยมาก่อนคนอื่นตอนตีสาม อยากขยันว่างั้นเถอะ แต่ปฏิบัติไม่ค่อยได้เพราะง่วง เลยมาตอนตีสี่กว่า ๆ ค่อยยังชั่วหน่อย

วันเวลาผ่านไปจนมาถึงวันที่ 27 ต.ค ธรรมะวิเศษของพระพุทธเจ้าก็บังเกิดขึ้นกับเรา เราเพิ่มความเพียรให้กับการปฏิบัติมากขึ้นเรื่อย ๆ จากที่นั่งสมาธิแค่หนึ่งชั่วโมงเราจะนั่งให้ได้ชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมงให้ได้
เรานั่งสมาธิตั้งแต่ 15.40 น. พอเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเรากัดฟันสู้ต่อในชั่วโมงที่สอง การนั่งสมาธิได้สติดีมาก เห็นอาการพองยุบได้ชัดเจน มีอาการทางวิปัสสนาเกิดขึ้นกับเรามากมายหลายอย่าง แต่เราไม่พูดให้ฟังหรอกนะเพราะว่าเพื่อน ๆ คงไม่เข้าใจ มันเป็นปัจจัตตัง(คือรู้ได้เฉพาะตน) อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเราก็รู้และนั่งดูไปเรื่อย ๆ มาสิ้นสุดที่เกิดปีติน่ะสิ รู้ไหมว่ามันเป็นยังไง ไม่อยากจะเล่าเลย อายจัง คือเราเกิดปีติ น้ำตาไหล ร้องไห้ซะลั่นศาลาปฏิบัติธรรมน่ะสิ ร้องไห้เสียงดังมาก ๆ เคยเห็นเด็กสามขวบร้องไห้ไหมเวลาที่โดนแม่ตีหรือเวลาที่อยากได้อะไรแล้วไม่ได้เขาจะร้องแบบนั้นแหละ แล้วก็สะอึกสะอื้น เราเป็นแบบนั้นเลย สะอื้นซะดังเชียวร้องไห้แบบไม่เกรงใจพระ ชี นักบวช ทั้งนั้นแหละ เฮอ ๆ เราจำได้ว่าเราเคยร้องไห้แบบนี้ตอนซักอายุสามขวบเห็นจะได้ นี่เราย้อนกลับไปเป็นเด็กสามขวบได้ยังไงน๊อ กายร้องแต่ใจไม่ร้อง จิตเป็นผู้นั่งดูอาการนั้นอย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับบริกรรมว่า ร้องไห้หนอ ร้องไห้หนอ น้ำตาไม่รู้มาจากไหนเยอะจัง ไหลอาบสองแก้มลงไปที่คอ ลงไปที่อก ไหลไปจนถึงสะดือแน่ะ ร้องนานเหมือนกันนะ หลังจากนั้นซักพักก็หยุดร้อง และนั่งไปเรื่อย ๆ จนมีแต่เวทนาเกิดขึ้น โอยปวดเหลือเกิน ปวดหนอ ปวดหนอ เราก็เลยออกจากสมาธิ พอดูเวลา 18.40 พอดี โอ้นั่งไปได้ยังไงตั้งสามชั่วโมง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยนั่งได้เกินชั่วโมงเลยซักครั้ง ก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมถึงเพื่อน ๆ ที่บล็อกแก๊งด้วย อิอิ ถึงไม่ได้มาด้วยกันก็ได้บุญกับเราทุกครั้งไปน๊า



ถ้าใครสนใจอยากจะมาปฏิบัติที่นี่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจนิดนึงนะ คือไปหัดนั่งสมาธิให้ได้ 1 ช.ม โดยที่ไม่เปลี่ยนขาเลย ห้ามขยับ แล้วก็เดินจงกรมให้ได้ 1 ช.ม เช่นกัน และก็ต้องมีความเพียรมาก อดทนสูงนิดนึงเพราะว่าต้องปฏิบัติทั้งวัน ไม่แนะนำคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลยมาที่นี่ เพราะว่าอาจจะอยู่ไม่ได้ มีหลายคนที่หอบกระเป๋ากลับบ้านอยู่ได้แค่วันเดียวเอง คือว่ามันจะน่าเบื่อนะสำหรับคนที่ไม่มีใจ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องสนุก มันเป็นการมาหาความทุกข์ เคยได้ยินคำนี้ไหม “ ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นธรรม ” และใครอยากจะเห็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเห็นธรรมก่อน เคยได้ยินคำนี้ไหม “ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต”

พอถึงวันสุดท้ายของการปฏิบัติเรารู้สึกว่าเวลาของเราเหลือน้อยเต็มที เลยตั้งใจเต็มที่ไม่พักเลย หลังทานข้าวมื้อเพลแล้วคนเขาจะไปพักผ่อนที่กุฏิแต่เรามาปฏิบัติก่อนใคร ๆ จากที่เคยเดิน 1 ช.ม นั่ง 1 ชม. แล้วพัก 15 นาที
เราเดินนั่งต่อเนื่องถึง 7 ชั่วโมงรวดเดียว ไม่รู้ทำไปได้ไงรู้สึกภูมิใจนิด ๆ ถ้าไม่ถึงเวลาฟังธรรมเราคงปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะปิดศาลาโน่นแหละ เสียดายมาก วันที่ต้องลาสิกขา เราไม่อยากจะลาเลย อยากอยู่ต่อ นี่ถ้าไม่มีภาระต้องรับผิดชอบเราคงจะอยู่ต่อจนถึงออกพรรษาแน่ ๆ



ปิดท้ายด้วยธรรมะเรื่อง “โทษจากการมอง”

มาที่นี่ยังมีคนมาแอบปิ๊งเราด้วย 2 คน อิอิ มานั่งคอยตลอดทั้งขามาและขากลับกุฏิ นี่เธอจะมาปฏิบัติธรรมหรือมาหาแฟนเนี่ย เขาให้เก็บสายตาแล้วทำไมไม่เก็บ มองอยู่ได้ สายตานี่น่ากลัวนะ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง

มีพระอรหันต์รูปนึงท่านมีรูปงามสวยเหมือนผู้หญิง พระอานนท์(สมัยที่เกิดเป็นคนธรรมดา)ได้เห็นพระรูปนั้นเกิดความพอใจรักใคร่ขึ้นมาทันที และคิดในใจว่า ถ้าเราได้พระองค์นี้มาเป็นแฟนคงจะดี ผลของกรรมที่คิดอกุศลนั้นพระอานนท์ได้ไปเกิดเป็นกระเทย 500 ชาติ เห็นไหมว่าโทษจากการมองนั้นร้ายกาจขนาดไหน

มีอีกเรื่องสมัยพุทธกาลเหมือนกัน ในสมัยพุทธกาลมีภิกษุณีรูปหนึ่งกำลังเดินรอบเจดีย์แล้วก็มีภิกษุณีเดินตามหลังมา แล้วภิกษุณีรูปข้างหน้าก็ถ่มน้ำลายออกไปแต่ไม่พ้นทางเดิน ภิกษุณีที่เดินตามหลังมาเห็นน้ำลาย
เลยอุทานขึ้นมาว่าหญิงแพศยา ผลของกรรมที่ท่านได้ด่าภิกษุณีรูปนั้นทำให้นางได้ไปตกนรก จำไม่ได้ว่ากี่ชาตินะ ลืมจด แล้วพอมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้เกิดเป็นโสเภณีหกหมื่นชาติ ก็ภิกษุณีรูปนั้น(ที่ถ่มน้ำลาย)เป็นพระอรหันต์ไง เลยได้รับผลกรรมเยอะหน่อย แทนที่นางเห็นน้ำลายแล้วจะกำหนดว่าเห็นหนอแล้วจบไป
แต่นางกลับด่า ด่าแค่นี้ได้รับกรรมเยอะขนาดนี้ โอน่ากลัวจริง ๆ ที่นี่ถึงต้องให้เก็บสายตาไงล่ะ ฝึกเอาไว้ให้ชำนาญ เคยเห็นพระพุทธรูปองค์ไหนบ้างที่ลืมตาหมด ไม่มีซักองค์มีแต่ทอดสายตาลงแค่ครึ่งเดียว
นี่แหละโทษจากสายตา เขาถึงบอกว่านักปฏิบัติต้องให้ปิดทวารทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา ไม่ควรมองสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เกิดประโยชน์
หู ไม่ควรไปฟังเรื่องไร้สาระ
จมูก ไม่ควรไปดมกลิ่นที่ชื่นชอบ
ลิ้น ไม่ควรไปลิ้มรสที่พึงพอใจ
กาย ไม่ควรกระทำสิ่งไม่ดีไม่ถูกต้องแม้กระทั่งสัมผัสสิ่งที่น่าพึงพอใจ หลงใหลต่าง ๆ เช่น จับมือสาว แฮ่ ๆ ๆ
ใจ ไม่ควรคิดเรื่องต่าง ๆ

รู้สึกว่าวันนี้เราจะพูดมากไปหน่อยนะ อิอิ อยากเขียนเยอะกว่านี้นะแต่เกรงใจคนอ่าน แต่ว่าเราคิดว่าจะเก็บไว้อ่านเองเป็นไดอารี่ของเรา ใครอ่านจบบ้างจ๊ะ ขอปรบมือให้สามแปะ

อ่ะแถมอีกนิดนึงสำหรับคนที่อยากมาปฏิบัติธรรมที่นี่ ถ้าจะมาให้โทรมาก่อน ไม่ควรหิ้วกระเป๋ามาเลยเพราะอาจจะไม่มีห้องให้นอน ที่นี่รับคนไม่เยอะ รับแค่พอกับกุฏิและยังไม่เปิดให้ปฏิบัติทั้งปี แต่ช่วงนี้ใครอยากจะไปก็ไปได้นะเพราะเขามีปฏิบัติกันจนถึงออกพรรษา ที่นี่เพิ่งสร้างและเปิดให้คนเข้าปฏิบัติพรรษาแรก คือช่วงเข้าพรรษาถึงออกพรรษา เราโชคดีได้มาฉลองเปิดศูนย์ปีแรก อิอิ
เบอร์โทร 053-263550-1 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น